
การทำงานในโฮมออฟฟิศ ทำให้เรามีสิทธิ์ตื่นสายได้มากกว่าคนที่ออกไปทำงานนอกบ้านนิดหน่อย ในช่วงที่เด็กๆปิดเทอม แต่ดิฉันชอบที่จะตื่นแต่เช้าก่อนใครๆ เพื่อใช้เวลาส่วนตัวนั่งเล่นดูต้นไม้ใบหญ้า
ฤดูร้อน เป็นช่วงเวลาที่สวนเล็กๆของเราสดใส ไม้ดอกทั้งหลาย พากันเบ่งบานอวดสีสัน ต้นสาธรที่เคยผลัดใบก็แตกใบใหม่เขียวสดเต็มต้น มะม่วงออกลูกห้อยระย้าน่าดูชม
แอบนั่งดูนกน้ำหน้าตาประหลาด ตัวโตเท่าแม่ไก่ เดินหาอะไรกินบนลานหินหลังบ้านแล้วตื่นเต้น พอๆกับที่ได้เฝ้าดูแมลงภู่สีสวยตัวเบ้อเริ่ม บินตอมเกสรดอกไม้อย่างมีความสุข
พยายามย่องอย่างเงียบที่สุด และถ่ายรูป แต่ไม่ทัน แม้ทั้งหมดที่ว่ามานี้ จะไม่ใช่ของมีราคาค่างวดอะไร แต่ดิฉันรู้สึกอิ่มเอม ประหนึ่งเป็นเศรษฐี
ดิฉันเคยบอกพ่อว่า ถ้ามีบ้านมีสวนเองเมื่อไหร่ จะปลูกแต่ไม้ใบ จะไม่ปลูกดอกไม้อะไรทั้งนั้น ถึงจะชอบความงามของดอกไม้ แต่ทนไม่ได้ที่จะต้องเห็นมันเหี่ยวเฉา ร่วงโรย
พ่อเป็นคนที่รู้จักดิฉันดีที่สุด พ่อบอกว่า ไม่ใช่แค่ไม้ดอกเท่านั้น ที่ไม่ควรปลูก คนขี้เกียจและขี้เบื่ออย่างกุ้ง ทางที่ดีอย่าได้ปลูกต้นไม้ อย่าเลี้ยงสัตว์อะไรเลยจะดีที่สุด ดีที่ตอนนั้นยังเป็นเด็ก พ่อเลยไม่ได้บอกว่า ถ้าแต่งงาน ก็อย่ามีลูก เพราะอาจจะเลี้ยงได้ไม่ดี 555+
ถึงแม้หลายสิ่งที่พ่อพูดไว้จะถูก แต่ในที่สุด ดิฉันก็สามารถฝ่าด่านวาจาสิทธิ์ของพ่อ มาปลูกต้นไม้ในสวนของตัวเองได้สำเร็จ พ่อคือความถูกต้องสำหรับดิฉันเสมอ กระทั่งกรณีนี้ ก็ไม่มีข้อยกเว้น แต่ด้วยความแก่ ดิฉันได้เรียนรู้ว่า คนเรา ถ้าอดทนตั้งใจทำอะไรจริงจัง ก็จะทำได้ทั้งนั้น
อย่างไรก็ตาม ดิฉันยังปฏิบัติตามคำสั่งพ่ออย่างเคร่งครัด ในการไม่หาสัตว์มาเลี้ยง แต่มีบางทีต้องกลายเป็นคนมีสัตว์เลี้ยงไปด้วยภาวะจำยอม เพราะคนอื่นเอามาทิ้งให้ดูแล
ต้นแพงพวยนี้ก็เช่นกัน มันเป็นไม้แขวนประดับที่ทีมงานของดิฉัน ซื้อมาใช้ตกแต่งสถานที่แทนการจัดแจกันดอกไม้ เมื่อตอนจัดงานเลี้ยงที่บ้าน หลังจากหมดงานแล้ว แม่บ้านก็เอาไปแขวนลืมไว้พักหนึ่งในที่ไกลตา จนดอกร่วงหมดเหลือแต่ใบเฉาๆ เพราะเมื่ออยู่ในที่ไม่มีใครเห็น ก็ย่อมไม่ได้รับการดูแล
พอเริ่มว่างจากงาน มีเวลาสำรวจบ้าน ไปเจอเจ้าแพงพวยสองกระถางนี้ กำลังจะตายแหล่มิตายแหล่ หายใจรวยริน ดิฉันจึงนำมันมาปฐมพยาบาล อัดน้ำอัดปุ๋ย และนำไปวางรับแดด เพียงสองสามวันก็ฟื้นคืนชีพ และออกดอกมาแสดงความขอบคุณ
จากการที่ได้เฝ้าดูมัน ตั้งแต่วันที่อาการร่อแร่ จนถึงวันที่ออกดอกสวยสะพรั่ง ซึ่งแน่นอนว่า อีกไม่ช้า จะต้องร่วงโรยเหี่ยวเฉา ไปตามวัฎจักรแห่งชีวิต ได้เปลี่ยนความคิดของดิฉัน ที่เคยตั้งใจว่า จะไม่ปลูกดอกไม้ เพราะไม่อยากเห็น ตอนดอกมันเหี่ยวและร่วง
ชีวิตของดอกไม้ ก็ไม่ต่างอะไรกับชีวิตคน ที่มีช่วงเริ่มต้น ผลิบาน และร่วงโรย
ขณะที่เขียนบทความนี้ ดอกไม้บนต้นยังบานสวยดีอยู่ แต่ตัวดิฉันนั้น ก้าวผ่านธรณีประตูชีวิต มาสู่พื้นที่แห่งความร่วงโรยแล้ว มุมมองใหม่ที่ได้เห็นจากจุดที่อยู่ตอนนี้ จึงแตกต่างไปจากตอนที่ยังเป็นเด็ก
ดิฉันได้พบว่า การพิจารณาความงามของชีวิต ไม่ใช่แค่การมองภาพความเป็นไป ณ ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง หากแต่เป็นภาพรวม ทั้งหมดทั้งมวลที่ประกอบรวมกัน ขึ้นมาเป็นชีวิต ตั้งแต่ต้นจนจบ
ข้อสงสัยหลายอย่างในการมีชีวิตอยู่ เป็นเรื่องที่ต้องแสวงหาคำตอบด้วยตัวเอง
เมื่อสองสามปีก่อน แถวบ้านดิฉัน มีเพื่อนบ้านวัยชรา เดินออกกำลังกายหน้าบ้าน ทักทายกันทุกวัน คุณยายอยู่บ้านคนเดียว ไม่มีลูกหลาน ไม่เพื่อน ไม่มีญาติพี่น้อง จ้างแม่บ้านมาดูแลวันเว้นวัน
คำถามที่ดิฉันอยากถามคุณยายมากที่สุด คือคุณยายมีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร ในวันที่รอบกายไม่เหลือใครสักคน สังขารที่เป็นอยู่ ก็นำมาแต่ความทุกข์ยาก แต่ด้วยความเกรงใจไม่กล้าถาม วันหนึ่งคุณยายก็หายไป ถามแม่บ้านก็ได้คำตอบว่า ท่านไปเที่ยวนครสวรรค์แล้ว พร้อมกับคำตอบที่ท่านรู้อยู่คนเดียว
เช่นเดียวกับความลับของดอกแพงพวย ที่คงมีแต่มันเท่านั้น ที่จะรู้ว่า ความงดงามและคุณค่าของชีวิตหลังจากคืนวันที่เคยบานสวยสะพรั่ง คืออะไร แม้จะเป็นความงามที่คนอื่นมองไม่เห็น
แสงแดดยามสายชักจะร้อน ดอกแพงพวยโดนแดด สีสดแจ่มกว่าตอนเช้าตรู่ ช่วงปิดเทอมแบบนี้ เด็กๆที่บ้านตื่นสายมาก ดิฉันส่งยิ้มให้ดอกไม้ และลุกไปเปิดตู้เย็น ดูว่ามีอะไรให้ลูกช่วยกัน ทำกินวันนี้บ้าง
ความลับของชีวิตดอกแพงพวย ก็อยู่กับดอกแพงพวย
ความลับของชีวิตเรา ก็อยู่กับเรา
นึกถึงที่พ่อเคยบอกว่า ดิฉันคงจะเลี้ยงหรือปลูกอะไรไม่ได้
ถ้าเป็นเรื่องอื่นที่พ่อพูดผิด พ่อคงเสียใจ และเสียฟอร์มมาก
สำหรับเรื่องนี้ ถึงพ่อจะต้องเสียฟอร์มนิดหน่อย
แต่ดิฉันคิดว่า พ่อน่าจะดีใจ ที่พูดผิด
พลาดแล้ว…พ่อจ๋า
อิ อิ