เรื่องของ…ตัวช่วย
แม้เราทุกคนจะคิดกันได้มานานแล้วว่า เหตุผลสำคัญในความไม่เจริญก้าวหน้าเท่าที่ควรของประเทศไทยตลอดหลายปีที่ผ่านมาโดยหากจะนับกันตั้งแต่ พ.ศ. 2475 ที่เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาจนปัจจุบัน ไทยเรามีเหตุผลสารพัดที่จะเจริญก้าวหน้าไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรมเรามีข้อได้เปรียบกว่าประเทศอื่นๆในภูมิภาคนี้อยู่มากมาย แต่ไม่อาจเดินหน้าไปได้อย่างที่ควร ติดหนึบอยู่ในภาวะหยุดนิ่งสลับกับถอยหลังอยู่เป็นระยะๆ ก็คือปัญหาการเมือง
แต่หากจะว่ากันตามความจริงลักษณะทางการเมืองเป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็ง เป็นตัวสะท้อนปัญหาที่ใหญ่กว่านั้นคือปัญหามาตรฐานคุณภาพของประชากรในประเทศ ทั้งมาตรฐานการศึกษา ระดับสติปัญญา รวมไปถึงมาตรฐานคุณธรรมจริยธรรมได้ชัดเจนที่สุด ในฐานะที่เป็นสังคมซึ่งคนส่วนใหญ่แข่งขันเอารัดเอาเปรียบ ใช่เล่ห์กลหักล้างเชือดเฉือนกันเพื่อเอาตัวรอดของตนเองและพวกพ้อง มุ่งผลประโยชน์แบบสุกเอาเผากินในระยะสั้นๆ มากกว่าจะเป็นสังคมที่ร่วมแรงร่วมใจกันสร้างความเจริญเพื่อประโยชน์ในระยะยาวของส่วนรวมโดยพฤติกรรมที่เห็นแก่ตัวนี้ไม่ได้เป็นแค่นายทุนยักษ์ใหญ่ที่เอารัดเอาเปรียบคนจน แต่เป็นกันทั่วทุกระดับชนชั้น คนจนก็เอาเปรียบคดโกงแบบคนจน คนรวยก็เอาเปรียบคดโกงแบบคนรวย สังคมที่ผู้คนคิดจ้องแต่จะเอาเปรียบกันจึงมีแต่คนเสียเปรียบ ก้าวไปไม่ถึงไหน
และเนื่องจากในสังคมของเรามีคนรวยน้อยกว่าคนจน การเอาเปรียบสังคมของคนรวยจึงอาจเห็นได้ชัดเจนและดูชั่วร้ายกว่าการกระทำของคนจน เพราะคนรวยสามารถใช้เครื่องมือในการเอารัดเอาเปรียบได้หลากหลายและทรงพลังน่าหมั่นไส้กว่า เช่น ใช้กลไกอำนาจรัฐผ่านการทุจริตเชิงนโยบายของนักการเมือง ที่ออกกฎหมายเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มทุน การให้สัมปทานในรูปแบบที่ไม่ชอบธรรมต่างๆ ส่วนการเอารัดเอาเปรียบในวิธีของคนจนนั้นอาจแสดงออกในรูปแบบที่น่าเห็นใจ ชวนให้สับสนว่าเป็นการเอาเปรียบหรือความน่าสงสาร เช่น การบุกรุกพื้นที่สาธารณะการตั้งหาบเร่แผงลอยบนทางเท้าการทิ้งขยะลงในแม่น้ำลำคลอง การทำลายสิ่งแวดล้อมทั้งที่ตั้งใจและไม่ตั้งใจ การทำเกษตรแบบสิ้นคิดที่ทำลายทั้งตัวเองและสิ่งแวดล้อม ไม่สนใจกลไกตลาด ไม่พัฒนาความรู้ความสามารถ เมื่อการทำเกษตรของตนเกิดปัญหาก็มาเรียกร้องให้ส่วนรวมรับผิดชอบ เรื่อยไปจนถึงเรื่องการขายสิทธิ์ขายเสียงในฤดูกาลเลือกตั้ง ฯลฯ
พฤติกรรมเอาเปรียบสังคมเหล่านี้ในวิธีของคนจนบ่อยครั้งถูกมองกลับหัวกลับหางว่าเป็นเพราะความด้อยโอกาส น่าสงสาร ทั้งที่รากเหง้ามาจากการไม่พยายามพัฒนาตนเองให้เป็นทรัพยากรที่มีคุณภาพของประเทศ จากนิสัยเกียจคร้าน ขาดวินัย ใจแคบ และไม่ซื่อสัตย์อย่างรุนแรง สามารถคดโกงได้ทั้งโกงตนเองและโกงผู้อื่น เสพติดภาวะพึ่งพิง ไม่เคารพกฎกติกาที่เป็นเหตุเป็นผล เห็นแก่ประโยชน์เฉพาะหน้าและโชคลาภที่ได้มาง่ายๆ ฝันลมๆแล้งๆ ถึงความสำเร็จของการจับเสือมือเปล่าในขณะที่ความเอาเปรียบคดโกงที่ไม่น่าสงสารของคนรวยดูจะเข้มข้นยิ่งกว่า เพราะถูกเติมให้แรงด้วยความขยัน ความมีวินัย ความใจใหญ่กล้าได้กล้าเสีย ความฉลาดเป็นกรด บวกความทะเยอทะยานที่แรงกล้าไม่สิ้นสุดลงไป ทำให้เป็นการเอาเปรียบคดโกงที่ลึกล้ำ มีพลังอำนาจมหาศาล
เมื่อพฤติกรรมเอารัดเอาเปรียบ เห็นแก่ตัว คดโกง ของทั้งคนรวยและคนจนมาปะทะกัน ผลลัพธ์ที่ได้คือความพังพินาศของประเทศ ความสกปรกของการเมืองทั้งที่ผ่านระบบเลือกตั้ง ลากตั้ง และรัฐประหารช่วงชิงอำนาจ การทุจริตของชนชั้นปกครองระบบสังคมและวัฒนธรรมที่ล่มสลาย ทำให้ประเทศมีสถานะประดุจเรือรั่วที่จะนำพาทุกชีวิตบนเรือจมดิ่งลงไปสู่หายนะด้วยกัน
สิ่งที่น่าจับตามองว่า น่าจะเป็น‘ตัวช่วย’หรือโอกาสที่จะพลิกสถานะถดถอยของประเทศไปสู่ความเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น คือเทคโนโลยีการสื่อสาร โอกาสในการเข้าถึงความรู้ และระบบขนส่งคมนาคมที่สะดวกขึ้น
‘ตัวช่วย’ ที่ว่านี้ก็ให้ผลในทางที่ต่างกันสำหรับคนจนและคนรวย เพราะคนรวยเลือกใช้ ‘ตัวช่วย’ นี้สนับสนุนการเร่งขยายธุรกิจ สร้างกิจการเพิ่ม ซื้อสินทรัพย์เพิ่ม โหมลงทุนเพิ่ม แต่ที่น่าตกใจคือ‘ตัวช่วย’ นี้กลับลดทอนโอกาสความสำเร็จของคนจนบางกลุ่ม ที่หมกมุ่นกับตัวช่วยนี้ในฐานะที่เป็นสิ่งมอมเมาให้เสียเวลา เสียทรัพย์ อยู่ในสภาวะเหมือนคนติดสารเสพติด ตัวช่วยที่ควรทำให้คนบางคน โดยเฉพาะคนที่บ่นว่าตัวเองจน อยากมีเงินเพิ่ม สามารถทำงานหาเงินได้มากขึ้น กลับทำให้คนจนเพ้อฝันลมๆแล้งๆ ถึงการทำงานน้อยลงแต่ได้เงินเท่าเดิมหรือมากขึ้น กลายเป็นรูรั่วที่ทำให้เงินทองและเวลาในชีวิตรั่วไหลไปโดยเปล่าประโยชน์หนักขึ้นสวนทางกับคนรวยที่มีตัวช่วยมากระตุ้นให้ทำงานหนักยิ่งขึ้นกว่าเก่า เพราะโอกาสที่ตัวช่วยนำมาให้ เช่น ห้างสรรพสินค้าที่เคยขายของได้เฉพาะตอนกลางวัน ก็มีตัวช่วยมาทำให้ขายของได้ตลอดทั้งวันทั้งคืนโดยไม่ต้องเปิดแอร์เปิดไฟในห้าง ขยายขอบเขตการขายได้กว้างไกล เพราะสามารถขายออนไลน์ได้
อันที่จริง โลกนี้หรือประเทศนี้ ไม่เคยขาด ‘ตัวช่วย’ เพียงแต่มันโผล่มาในรูปแบบที่แตกต่างกัน ในสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปตามยุคตามสมัย แต่คนที่เกิดมาเพื่อจะรวยกับคนที่เกิดมาเพื่อจะจน ก็มีวิธีตอบสนองกับตัวช่วยนี้แตกต่างกันเสมอในทุกโอกาส หากจะมองว่า ความอุดมสมบูรณ์ของประเทศในอดีตที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นดินที่เพาะปลูกอะไรก็งอกงาม ในน้ำที่มีกุ้งหอยปูปลาให้จับกิน ก็อาจถือได้ว่าเป็น ‘ตัวช่วย’อย่างหนึ่ง แต่ตัวช่วยนี้กลับทำให้คนพวกหนึ่งเกิดนิสัยเกียจคร้าน มักง่าย ไม่ลุกขึ้นมาศึกษาเรียนรู้ พัฒนา ทำอะไรใหม่ๆที่ดีกว่าเดิม ติดนิสัยพึ่งพิงจนฝังอยู่ในรหัสพันธุกรรมในขณะที่ตัวช่วยเดียวกันนี้เป็นสิ่งที่คนอีกพวกหนึ่งใช้เป็นปัจจัยในการสร้างความมั่งคั่ง สร้างอำนาจ สร้างอาณาจักรทางธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ขึ้นมาได้
คำถามคือ สิ่งที่เราพูดคุยกันในบทความนี้ ไม่ใช่เรื่องลึกลับที่ยังไม่มีใครรู้ แต่เป็นสิ่งที่ทุกคนต่างก็รู้กันดีอยู่แล้ว ทว่าเพราะเหตุใดผู้คนสองกลุ่มที่แตกต่างกันจึงมีพฤติกรรมที่สวนทางกันเสมอในการตอบสนองต่อ‘ตัวช่วย’แน่นอนว่าคำถามนี้เป็นคำถามโลกแตก เหตุผลมีล้านแปดและอาจโยงไปได้ถึงเรื่องเวรกรรมที่ต่างคนสร้างสมมาไม่เท่ากันในชาติก่อนๆ
สิ่งที่น่ากลัวไม่ใช่การเสียประโยชน์หรือเสียโอกาสจากการไม่ใช้ตัวช่วยมาทำสิ่งดีๆให้เกิดขึ้นกับชีวิตตนเองและกับสังคมในเวลาที่ควรใช้ แต่คือการที่‘ตัวช่วย’นั้น จะพลิกโฉมด้านมืดมากลายเป็น‘ตัวทำลาย’ทั้งตัวบุคคลและทำลายเศรษฐกิจ ทำลายสังคมให้พิกลพิการไปได้มากในทิศทางที่คาดไม่ถึงคนมากมายฝันถึงชีวิตที่ดีขึ้น แต่ตื่นเช้ามาหมกมุ่นงมงายหลงระเริงอยู่ในด้านมืดของตัวช่วยวันแล้ววันเล่า มีความสุขสนุกสนานลวงๆอยู่ในหมอกควันของตัวช่วยเหมือนขี้ยาในโรงฝิ่น เมื่อหมอกควันสลาย กว่าจะรู้ตัวว่าต้องลุกขึ้นมาทำอะไรเสียที ก็หมดเรี่ยวแรง หมดสภาพไปเสียแล้ว และเมื่อความล้มเหลวที่เกิดขึ้นแก่ตัวเองเป็นสิ่งที่ไม่รู้จะโทษใคร ก็ชี้นิ้วโทษการเมือง โทษพระอาทิตย์ขึ้น-โทษพระอาทิตย์ตก โทษประเทศชาติบ้านเมือง กันไปตามเรื่องตามราว รวมถึงโทษเจ้า‘ตัวช่วย’ที่กลายเป็น ‘ตัวซวย’นั่นด้วย…เต็มๆ