นิทานเรื่องพี่กุ้ง

103594050_10222871798166353_7369118515734715103_n

เรื่องความประหยัดตัวเป็นเกลียวของพี่กุ้งนั้นระบือระลือไกลมานานแล้วในหมู่คนคุ้นเคย ถึงขั้นที่ผัวแกวิเคราะห์ว่าชื่อเล่น “กุ้ง” นั้นน่าจะกร่อนมาจากคำว่า “กุ้งแห้ง” ที่ไม่ได้แปลว่า ผอม แต่แปลว่ากุ้งที่ผ่านการแช่เกลือจนแห้งและ… เค็ม
.
สถานะพออยู่พอกินของพี่กุ้ง ไม่ได้มาจากการที่แกหาเงินเก่งหรือมีรายได้เยอะ แต่ส่วนใหญ่มาจากความเขียม ไม่ค่อยชอบซื้ออะไร แถมด้วยนิสัยชอบทำอะไรด้วยตัวเองแทบทุกสิ่ง ทำให้พอมีเงินเหลือเก็บ ขนาดแม่บ้านที่มาช่วยงานรายวันยังเบะปากสมเพชทุกครั้งที่เห็นพี่กุ้งแกออกมาทำกับข้าวกินเองแทบทุกวันในครัวยามพักเที่ยง แทนที่จะหาซื้อหรือสั่งอะไรอร่อยๆจากข้างนอกมากินเหมือนคนอื่นๆ แถมแกยังชอบสั่งสอนแม่บ้านที่ชอบซื้อกาแฟเย็นแก้วละหลายสิบบาทกินทุกวัน ว่าให้หัดชงกินเองหรือเลิกซื้อกิน จะได้ไม่เสียเงินและไม่อ้วนจนเบาหวานขึ้นตาอย่างที่เป็นอยู่ โดยมิได้ตระหนักว่า เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือพูดง่ายๆว่าเสือก เพราะแกคิดว่าตัวเองหวังดี
.
ไม่ใช่แค่รับงานหลายจ๊อบ ทำอาหารกินเองแต่พี่กุ้งนั้นระห่ำทำสิ่งต่างๆในบ้านด้วยตัวเองแทบทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นทำสวน ตัดกิ่งไม้ เย็บผ้า ซ่อมแซมบ้าน ฯลฯ ซึ่งไม่ใช่เพราะความขยันขันแข็ง หรือมีพรสวรรค์อะไร แต่มาจากนิสัยไม่ยอมจ้างคนอื่นเพราะกลัวเปลือง

เวลามีข้าวของอะไรมา แกก็ใช้อย่างทนุถนอม ไม่ว่าจะเสื้อผ้า เฟอร์นิเจอร์ รถ คนอื่นเขาใช้กันแป๊บๆแล้วก็เปลี่ยนซื้อใหม่ แต่พี่กุ้งใช้แต่ละอย่างได้ยาวนานเป็นสิบๆปี ขนาดกางเกงยีนส์ที่ใส่มาตั้งแต่แต่งงานใหม่ๆยังไม่มีลูก ทุกวันนี้ลูกแกโตจนบรรลุนิติภาวะแล้ว กางเกงตัวเดิมของแกก็ยังใส่ได้ และถ้าใครถามว่า ทำไมพี่ทนใช้ของเก่านานขนาดนี้ แกก็จะตอบอย่างภาคภูมิใจว่า ก็มันยังใช้ได้ จะเปลี่ยนทำไม
ฉันเป็นคนรักษ์โลก
.
ดอกไม้โปรดของพี่กุ้งจึงไม่พ้นสแตติซหรือยิปโซ เพราะอยู่ได้นาน แห้งแล้วก็ยังสวย ซื้อครั้งเดียว ปักแจกันได้เป็นปี
.
แต่บ่อยครั้งที่ความประหยัดเกินเหตุชอบทำอะไรเอง ก็นำความฉิบหายหลักหมื่นหลักแสนมาให้พี่กุ้ง อย่างเช่น แกชอบปลูกต้นไม้ ชอบศึกษาด้านการเกษตร ทำปุ๋ยหมักใช้เอง ด้วยการเอาขยะอินทรีย์ในบ้านมาตั้งกองผลิตปุ๋ย ต้องออกแรงใช้จอบใช้เสียมขุดพลิกกอง บางทีก็ต้องยกของหนักฝืนสังขาร ด้วยความลืมตัวว่ากำลังวังชาถดถอยไปมากแล้ว ผลที่ได้คือ ประหยัดค่าซื้อปุ๋ยค่าซื้อผักกินไปไม่กี่ร้อยบาท แต่ต้องเสียค่าหมอ ค่าเอกซเรย์ ค่ายา และค่าทำกายภาพรวมๆกันก็หลายหมื่น
.
เรื่องเสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่ายนี้ พี่กุ้งถนัดนัก แต่ใครอย่าได้บังอาจว่ากล่าวตักเตือนแกเชียว โดยเฉพาะนิสัยประหยัดไม่ยอมจ้างใครมาช่วยงาน ชอบทำอะไรเองจนเสียค่าหมอนับไม่ถ้วนนี่ยิ่งพูดไม่ได้เลย เพราะแกจะย้อนกลับเอาอย่างเจ็บแสบ แนวออกทะเลว่า
.
“ก็เพราะฉันประหยัดมาทั้งชีวิตนี่แหละ เวลามีเหตุฉุกเฉินถึงได้มีเงินเสียค่าหมอ ไม่เป็นภาระกับสังคม”
.
อย่างไรก็ตาม ในช่วงปีสองปีที่ผ่านมา มีเหตุการณ์สำคัญเข้ามาสั่นคลอนวิถีประหยัดของพี่กุ้งให้โยกเยก นั่นคือ ความตายของคนใกล้ชิดและเพื่อนฝูงรุ่นราวคราวเดียวกัน ที่จู่ๆก็ชวนกันตายร่วงผลอยๆ เหมือนใบไม้ร่วง
.
จู่ๆพี่กุ้งก็นึกอยากเปลี่ยนเฟอร์นิเจอร์ใหม่ทั้งบ้าน ทั้งที่ของเก่าก็ยังใช้ได้ ไม่มีอะไรเสียหาย พอถามแกก็บอกว่า สองสามวันมานี้รู้สึกไม่ค่อยดี เจ็บนั่นปวดนี่ บางทีก็คล้ายๆจะหายใจไม่ออก ฉันเกรงว่า ตัวเองอาจจะตายวันตายพรุ่ง แล้วถ้าตายไปโดยที่ยังไม่ได้ใช้เงิน ไม่ได้ใช้ของดีๆ ก็จะเป็นชีวิตที่ไม่คุ้มค่า
.
ไม่มีใครกล้าบอกพี่กุ้งว่า ความรู้สึกที่เกิดขึ้น คืออาการที่เขาเรียก วิกฤตวัยกลางคน หรือ midlife crisis ว่าแล้วแกก็ไปถอนเงินในบัญชีฝากประจำส่วนหนึ่ง มาใส่ในบัญชีออมทรัพย์สำหรับใช้จ่าย ด้วยความตั้งใจมุ่งมั่นว่า ก่อนตายจะขอใช้ชีวิตฟุ่มเฟือยฟู่ฟ่าให้เหมือนคนอื่นบ้า
.
ผัวแกได้รับทราบความตั้งใจเมียก็สนับสนุนเต็มที่ เพราะเซ็งความเค็มของเมียเหลือทน
.
ผ่านไปสองสัปดาห์ ก็ไม่มีเฟอร์นิเจอร์ใหม่เข้ามาในบ้านเสียที
ผัวแกตะล่อมถามอย่างเกรงใจว่า ใช้เงินที่ถอนมาหรือยัง พี่กุ้งแกตอบอย่างเซ็งๆว่า

“ใช้ไปแล้ว แต่ไม่ได้ซื้อเฟอร์นิเจอร์นะ ฉันเอาไปซื้อที่ดิน
.
โซฟาบ้านเรายังไม่ขาด ซื้อใหม่น่ะไม่เสียดายเงินหรอก แต่ของดีๆที่ต้องทิ้งนี่สิ ฉันเสียดาย

แต่พอดีเห็นว่า ไหนๆก็ถอนเงินมาข้อปปิ้งแล้ว ขี้เกียจฝากคืน ฉันเลยซื้อที่ดินต่างจังหวัด เผื่อทำบ้านสวน จะได้เอาเฟอร์นิเจอร์เก่าไปใช้ แล้วถึงตอนนั้นค่อยซื้อของใหม่เข้าบ้านนี้นะเธอ”
.
ความเสียดายไม่อยากทิ้งของ ทำให้พี่กุ้งลืมกลัวความตาย
และในที่สุด
ครอบครัวของพี่กุ้งก็ต้องทนใช้เฟอร์นิเจอร์เก่าไปอีกนานแสนนาน
.
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ความเค็ม อยู่เหนือทุกสรรพสิ่ง แม้แต่ความตาย

#เรื่องเล่าจากสวนหลังบ้าน

You may also like...