โลกจะไม่มีวันปฏิเสธคุณเลย คุณจะเป็นที่ยอมรับเสมอ และประสบความสำเร็จเสมอ หรืออย่างน้อยที่สุด คุณก็จะไม่ผิดหวังเลย หากคุณสามารถเตือนตัวเองได้ตลอดเวลาว่าโลกนี้คือละคร
เมื่อเข้าใจในความสมมุติของโลก ไม่ยึดติดในบทบาทสมมุติไม่เครียดกับการสูญเสียสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง ยอมรับว่าโลกคือละคร สิ่งที่ผู้ชมปรารถนาคือ ผู้แสดงที่เล่นตามบทได้ทุกเรื่อง ตีบทแตกทุกตอน พูดง่ายๆ ก็คือ ทำให้ถูกกาละเทศะ
การทำความเข้าใจให้ได้ว่า โลกนี้คือละครจะป้องกันการปฏิเสธ หรือความผิดหวังได้เป็นอันดับหนึ่ง โดยมีหลักมาจากแนวคิดในศาสนาพุทธ ชีวิตคนเราเกิดมาไม่มีอะไร แล้วที่สุดก็ตาย เอาอะไรไปไม่ได้ ในการที่ไม่อยากให้โลกปฏิเสธเรา หรือเราอยากจะได้อะไรมา หลักการง่ายๆ คือเราต้องมีสติ ตื่นรู้อยู่ว่า ณ ฉากนั้น ในละครเรื่องนั้น ณ เวลานั้น โลกต้องการให้เราแสดงบทบาทไหน ถ้าเราทำถูกที่ ถูกเวลา ตีบทแตก ในละครเรื่องนั้น ในฉากนั้น เราก็จะป็นผู้ชนะหรือผู้ได้รับรางวัลตุ๊กตาทองในละครเรื่องนั้น
ยกตัวอย่างเช่น คนเราเกิดมา ไม่มีตำแหน่งรัฐมนตรีติดมา ไม่มียศฐาบรรดาศักดิ์ติดตัวมา ไม่มีเงิน ไม่มีชื่อเสียง ไม่มีอาชีพ หรือแม้แต่หรือการเป็นลูกเป็นพ่อเป็นแม่กัน สัตว์บางชนิดก็ไม่จำบทบาทนี้ บางทีลูกเกิดมา มันก็ทิ้งลูกเลย ขึ้นอยู่กับสัญชาตญาณของสัตว์แต่ละชนิด
มนุษย์เรามีบทบาทสมมติที่ตราตรึงไม่เหมือนสัตว์ บทบาทนี้ได้กำหนดหน้าที่เราด้วย เช่น พอเกิดมาปุ๊ปเราเป็นลูก ในละครเรื่องครอบครัว เริ่มต้นตั้งแต่เมื่อเราเป็นลูก เราก็ต้องเล่นให้ดีในฐานะลูก เป็นลูกที่น่ารัก ตั้งใจเรียน ช่วยเหลือพ่อแม่แล้วพอเปลี่ยนบท ถึงเวลาไปอยู่กับเพื่อน ถ้าเราเป็นคนไม่เอาไหน เป็นลูกแหง่ติดแม่ ในหมู่เพื่อนเราก็เป็นคนที่เล่นละครไม่ดีในฐานะเพื่อน เพราะในละครแห่งมิตรภาพ เราอาจต้องเล่นบทบาทเป็นคนกล้าได้กล้าเสีย ถึงไหนถึงกัน ช่วยเหลือเพื่อน จึงจะได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนที่ดี พอถึงเวลาเราเป็นนักเรียน บทบาทของนักเรียนในละคร ก็ควรจะเล่นให้เป็นคนเรียนเก่ง ตั้งใจเรียน ถ้าเราคิดถูก ถ้าเรารู้บทบาทที่คาดหวังในฉากนั้นคืออะไร และเราเข้าใจว่าตอนนี้เราเปลี่ยนฉากแล้ว พูดง่ายๆ คือเราต้องมีสติอยู่ตลอดเวลา ยอมรับในบทบาทสมมตินั้น เพราะเราเลือกแล้วที่จะเล่น ถ้าเราไม่เล่นเราก็เดินออกจากฉากนั้นไป
บางขณะเราอาจถูกบังคับอยู่ในฉากใดฉากหนึ่งที่เราไม่ชอบ แต่เรายักไหล่ไม่แคร์กับฉากนั้น เราก็ต้องยอมรับผลจากการเลือกของเรา เพราะเราตัดสินใจแล้ว
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นมันไม่มีบทบาทใดที่มันติดตัวเราจริงๆ คนเราสามารถสลัดทุกบทบาทได้ทันทีถ้าเราต้องการ เพราะว่าที่สุดแล้วเราก็จะต้องตาย ข้อคิดนี้เอง ที่ทำให้คนเราอิสระและพร้อมที่จะปรับตัวตลอดเวลาโดยคิดว่า ถ้ามีคนบอกว่า คุณเป็นคนขี้เกียจปรับตัวไม่ได้หรอก ไม่จริง คุณปรับได้ ถ้าคุณอยากจะปรับ ทุกอย่างเป็นแค่การแสดง ถ้าคุณแสดงว่าขี้เกียจคุณก็ขี้เกียจ ถ้าคุณแสดงว่าคุณขยันคุณก็ขยัน มันไม่มีชนิดของคนชนิดใดเลย ที่จะติดคุณไปตลอดชีวิต แต่เป็นคุณเลือกที่จะเล่นบทนั้นยาวหรือสั้นแค่ไหน ก็อีกเรื่องหนึ่ง
สมมติว่าดิฉันเป็นนักเขียน เวลาเขียนหนังสืออยู่บ้าน อาจจะเลือกนุ่งกางเกงขาดๆ ใส่เสื้อกล้าม ไม่แต่งหน้า ผมไม่ได้สระ เพราะต้องการอารมณ์ที่ต่อเนื่อง ไม่อยากขยับตัวไม่อยากเปลี่ยนอะไร อยากจะให้บรรยากาศเป็นแบบนี้ เพราะว่าเขียนแล้วมีสมาธิคงที่ แต่พออีกวันมีคนเชิญดิฉันไปบรรยายเรื่องบุคลิกภาพ บทบาทเปลี่ยน ดิฉันก็ต้องเปลี่ยนบทบาทตัวเอง ให้เหมาะกับการไปแสดง ไปบรรยายบุคลิกภาพ มันไม่ใช่การเสแสร้ง แต่เป็นข้อเท็จจริงว่า มนุษย์เราไม่มีบทบาทใดแท้จริง ถ้าเราเข้าใจตรงนี้และเราจัดการกับมันได้ แต่มีข้อแม้ว่าเราไม่จำเป็นต้องเลือกเล่นให้ได้ตุ๊กตาทองครบทุกฉาก เพราะไม่อย่างนั้นอาจจะบ้าตาย เราจะเครียดมาก แต่ถ้าเราอยากได้ตุ๊กตาทองหลายฉาก และสามารถเตือนตัวเองว่าโลกนี้คือละคร และเราอยากเล่นเต็มที่สุดๆ ในทุกฉาก อยากใส่เต็มแรงทุกตอน ทุกบทมันก็เรื่องของเรา หรือในทางตรงกันข้าม เราอาจจะอยากลงแรงเล่นแค่นิดๆหน่อยๆ ทุกฉาก มันก็เรื่องของเราอีกเหมือนกัน แต่เราต้องรับผลของมันให้ได้เมื่อคุณทำไม่ดี ไม่เป็นที่ยอมรับ หรือโดนปฏิเสธ ก็เพราะคุณทำไม่ดีเอง ไม่มีอะไรบังเอิญ ไม่ใช้โชคชะตา เพราะถ้าคุณเล่นห่วยๆ ทุกฉาก คุณไปโรงเรียนคุณก็เรียนทีเล่นที่จริง คุณเป็นลูกคุณก็เป็นลูกดีบ้าง ไม่ดีบ้าง คุณไปทำงานคุณก็ง่วงบ้าง หลับบ้าง ขี้เกียจบ้าง ไปสายบ้าง คุณเป็นแฟน คุณก็เป็นแฟนที่เลว ไปมีชู้มีกิ๊ก ไม่ใส่ใจ ถ้าคุณเลือกที่จะเล่นให้เลวทุกบท คุณต้องรู้ว่า เมื่อคุณจ่ายอย่างนั้นคุณจะได้อะไรกลับมา ทุกอย่างอยู่ที่คุณเลือก
และถ้าคุณอยากป็นคนที่เจ๋งมากๆ เจ๋งชนิดว่าคุณยังต้องนับถือตัวเอง เจ๋งจนโลกยังต้องนับถือและยอมรับคุณ คุณก็ต้องยอมลงแรงเล่นให้ดีทุกบท หรือบทที่คุณเห็นว่าสำคัญ คุณใส่เต็มที่ไปเลย และบางบทคุณอาจจะขอไม่เล่นเลย เช่น บางคนตัดสินใจแล้วว่า ชีวิตนี้จะไม่ขอมีแฟน เพราะอยากจะเป็นผู้นำทางศาสนา ขอตัดเรื่องทางโลก มันเป็นสิ่งที่คุณได้เลือกแล้ว ว่าบทนี้คุณไม่เล่น ละครเรื่องนี้คุณไม่เล่น เรื่องรักใคร่คุณไม่เล่น คุณเลือกเล่นในฐานะนักการเมือง เป็นผู้นำ
ความเข้าใจนี้ทำให้คุณไม่เครียด และพร้อมที่จะยอมรับความผิดพลาดและเริ่มต้นใหม่ได้ตลอดเวลา ทำความเข้าใจไว้ก่อนเลยว่า เมื่อคนเรายิ่งทำอะไรเยอะ ยิ่งไขว่คว้าความสำเร็จเยอะ โอกาสที่จะผิดพลาดก็จะเยอะด้วย โอกาสที่จะแบกรับความเครียด ความดูถูกตัวเองหรือความน้อยเนื้อต่ำใจก็จะมากกว่าคนที่ทำอะไรน้อยๆ การยอมรับในความสมมติ ทำให้คุณกล้าลอง กล้าล้ม และกล้าเปลี่ยน มองชีวิตเป็นฉากๆ ให้สนุกทุกตอน และรู้ตัวว่าเมื่อจบฉากนี้เริ่มฉากใหม่ อย่างนี้ทำให้เรามีกำลังใจ ให้เราเห็นวันใหม่ได้ทุกวัน และไม่เสียใจง่ายยัก เพราะเข้าใจว่า ทุกอย่างมาแล้วก็ไป ละครทุกเรื่องก็มีวันจบ ไม่มีตัวตนไหนเป็นจริงไปตลอด เพราะที่สุดแล้วคุณก็จะกลายเป็นเถ้าถ่าน หรือเป็นปุ๋ยอยู่ในดิน