ในปี 2560 นั้น ดิฉันเดินทางบ่อย เวลาเดินทางทิ้งบ้านไปหลายวัน นอกจากคิดถึงลูก พ่อแม่ญาติพี่น้องเพื่อนฝูง คิดถึงต้นไม้ ก็คิดถึงหมา แม้จะเพิ่งฉกของคนอื่นมาเลี้ยงได้ไม่นาน ก็รู้สึกห่วงใยเสมือนเป็นเจ้าข้าวเข้าของชีวิตมัน
.
หนูหริ่งเป็นหมาที่ฉลาด ตั้งแต่มันรู้ตัวว่า เกิดมาเป็นหมา และตัดสินใจยอมรับระบอบการปกครองในบ้านที่ปฏิบัติต่อมันเยี่ยงหมาน่อยธรรมดา เข้าใจในสิทธิและหน้าที่ของตนในระดับที่หมาฉลาดๆตัวหนึ่งพอจะเข้าใจได้ มันก็ประพฤติตนตามครรลองของหมาที่ได้ชื่อว่าดีพอสมควร เช่น รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้กิน มีสิทธิ์เดินไปตรงไหนได้บ้าง รู้ว่าจะต้องทำท่าดีใจอย่างไรเวลาเจ้าของกลับมาบ้าน และเดินมาหาทันทีที่เจ้าของสั่ง เพื่อให้เจ้าของซึ่งอาจจะโดนกดขี่มาทั้งวันจากใครๆ ได้รู้สึกเสมือนมีอำนาจเหนือสิ่งมีชีวิตอะไรสักอย่างหนึ่งในโลกนี้ และทำให้เจ้าของนั้นมีความสุขที่ได้ตีความกิริยาอาการตามธรรมชาติของหมาว่าหมายถึงความรักและภักดี เพื่อปลอบประโลมใจตนเองในโลกที่แห้งแล้งด้วยความรัก
.
เพราะมันคงฉลาดพอที่จะเข้าใจแล้วว่า เมื่อมันตัดสินใจเลือกแล้วว่าจะเป็นพลหมาดีภายใต้วิถีการปกครองแบบนี้ สิ่งที่เหมาะสมที่สุดก็คือการรับผิดชอบทางเลือกของตัวเอง ใช้ชีวิตไปวันๆกับเส้นทางที่เลือก จะสุขบ้างทุกข์บ้างก็ไม่อาจจะกล่าวโทษใคร เพราะมันเลือกของมันแล้ว
.
แต่คิดๆดูอีกที หนูหริ่งมันอาจจะเถียงในใจ ว่ามันไม่ได้เลือกที่จะมีชีวิตแบบนี้นะ คนอย่างเราต่างหากที่เลือกให้มัน เราต่างหากที่กระโจนเข้ามาปกครองมัน ทำตัวเป็นเจ้าของหรือเจ้านายของมัน หมาไม่ได้เลือกให้เราเป็นนายมันเสียหน่อย มันแค่ต้องการใครสักคนหาข้าวให้มันกินเท่านั้น
.
ซึ่งถ้าหนูหริ่งมันคิดแบบนี้จริงๆ ก็ถือว่าผิดมาก เพราะการตัดสินใจทนยอมรับในสิ่งที่ตัวเองไม่ได้เลือก หรือการตัดสินใจที่จะไม่เลือกอะไรทั้งนั้น คิดแต่จะอยู่ให้สบายไปวันๆโดยไม่ลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงอะไร ก็ถือเป็นทางเลือกชนิดหนึ่ง ไม่ว่ามันจะเลือกด้วยความเต็มใจหรือไม่เต็มใจ การ’ไม่เลือกที่จะต่อสู้’ ก็คือหนึ่งในการตัดสินใจที่มันต้องรับผิดชอบ
.
ก็ไม่รู้ว่า สมองหมาๆของหนูหริ่ง จะฉลาดพอที่จะเข้าใจเรื่องแบบนี้ไหม หรือบางทีมันอาจจะฉลาดมาก เลยแกล้งทำเป็นไม่เข้าใจ ตีเนียนไปวันๆ เมื่อไหร่ได้ประโยชน์ก็รับไว้เงียบๆ เมื่อไหร่เสียประโยชน์ก็ออกมาโวย ว่ามันไม่ได้เลือก
.
ที่เขียนมาเสียยืดยาว เป็นเรื่องเล่าเช้านี้ ก็เพราะหนูหริ่งนั้น แม้จะเชื่อฟังในเรื่องต่างๆดี แต่ถ้าเรียกมาถ่ายรูป มันไม่เคยยอมเชื่อฟังเลย วิ่งหนีตลอด ทำให้เจ้าของหงุดหงิด
.
บางทีมันอาจไม่รู้ว่า การเป็นพลหมาภายใต้ระบอบเช่นนี้ หมายถึงมันต้องยอมรับในหน้าที่หรือกฎใดๆที่ผู้ปกครองอย่างเราอยากจะเพิ่มลงไปในระเบียบการปกครองมันไม่ว่าแบบไหนและเมื่อไหร่ก็ได้ ตามแต่เราจะเห็นสมควร
ที่สำคัญ…นี่ไม่ได้ถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอะไรทั้งนั้น เพราะหนูหริ่งนั้นเป็นแค่หมา
.
หมามันจะเอาสิทธิมนุษยชนไปทำมะเหงกอะไร ข้าวคลุกตับไก่สักชาม ยังมีประโยชน์กับมันมากกว่า
…
หนูหริ่ง 20170621