Together we live / or die

โลกเดียวหรือโลกส่วนตัว  (ดีวะ)

ในแต่ละวันแต่ละคืน ผู้คนธรรมดาสามัญอย่างเราๆท่านๆ ถูกขู่ให้ตกใจอยู่ตลอดเวลาว่าจะต้องปรับตัวเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เมื่อโลกได้เปลี่ยนมาสู่กระแสโลกเดียว หรือโลกาภิวัฒน์ บนพื้นฐานความเชื่อว่าเทคโนโลยีจะทำให้โลกทั้งใบรวมกันเป็นหนึ่งบลาๆๆๆ  ภาษาที่ใช้ในโลกอาจจะเหลือภาษาที่เป็นกลางแค่ไม่กี่ภาษา สกุลเงินต่างๆในโลกจะถูกยุบหายไป เกิดใหม่เป็นเงินสกุลเดียว อย่างในยุโรปที่เคยเปลี่ยนจากการใช้สกุลเงินของตัวเองมาใช้เงินยูโรร่วมกัน หรืออย่างในอาเซียนก็มีการรวมตัวกันด้วยความพยายามจะให้เกิดความเป็นหนึ่ง รักกันต่อหน้าแต่ก็แข่งขันกันสุดแรงอยู่เบื้องหลัง มีการเปิดเสรีในหลายธุรกิจ และการเปิดให้เดินทางไปมาหากันได้โดยไม่ต้องใช้วีซ่า ถือพาสปอร์ตใบเดียวสามารถเดินทางท่องเที่ยวหากินได้หลายประเทศ เรื่อยไปจนถึงการรวมตัวกันเป็นหนึ่งของเงินตราที่ใช้ในโลกเสมือนด้วยเทคโนโลยีฟินเทคที่อาจจะเปลี่ยนค่าเงินในสกุลต่างๆทั่วโลกให้เข้าสู่ระบบของสกุลเงินดิจิตอลที่เป็นสากล ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ย่อมหมายถึงการพลิกโฉมเศรษฐกิจโลกครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ และเกี่ยวข้องกับกระเป๋าสตางค์ของเราทั้งทางตรงและทางอ้อม

แต่วันดีคืนดี ก็มีเสียงบ่นเสียงพึมพำมาจากหลายประเทศมหาอำนาจที่เคยตั้งใจรวมกันให้เป็นหนึ่งในนามของประชาคมรูปแบบต่างๆ เพื่อความแข็งแกร่งร่วมกันในการเป็นผู้นำเพื่อครองโลกได้อย่างยิ่งใหญ่กว่าครองเดี่ยวๆ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดที่สุดคือ การแยกตัวออกมาจากกลุ่ม EU ของอังกฤษ เนื่องจากไม่อยากโดนประเทศที่ด้อยกว่าในกลุ่มเดียวกันมาหวังประโยชน์หรือเกาะกิน ทำนองเดียวกับการรวมตัวของเพื่อนฝูงที่มักจะผลักภาระในการจ่ายมากกว่าให้กับคนมีตังค์ และคาดหวังว่า ใครรวยกว่าก็มีหน้าที่เจือจานเพื่อนที่จนกว่า นานๆไปเพื่อนรวยก็ไม่อยากมาเข้ากลุ่ม เพราะโดนเพื่อนจนเอาเปรียบตลอด เลยชิ่งหนีออกจากประชาคมเสียดื้อๆ ทำให้บรรดาแก๊งเพื่อนจนที่เหลือมองตากันปริบๆไม่รู้จะเกาะใครกินต่อ

หรืออย่างกระแสโลกเดียวในมุมมองแบบที่อเมริกาเคยคิดว่า จะทำให้ตนขยายการจ้างงานและการผลิตต่างๆไปยังประเทศที่ต้นทุนค่าแรงต่ำ หรือช่วยลดต้นทุนในการผลิตได้มากกว่า แล้วนำสินค้าหรือบริการต้นทุนต่ำเหล่านั้นเข้ามาขายในประเทศหรือในต่างประเทศด้วยราคาที่ฟันกำไรสูงๆ พอนานเข้าก็พบว่า การทำแบบนี้ทำให้คนอเมริกันไม่มีงานทำ ขี้เกียจขึ้น โง่ลง จนลง กลายเป็นภาระของรัฐต้องอุ้มคนตกงาน หรือในอีกแง่หนึ่งก็คือภาษีคนรวยที่ทำงานหนักต้องมาอุ้มคนจนที่ขี้เกียจ แถมยังด่าว่าคนต่างชาติมาแย่งงาน ทั้งที่ความจริงแล้วเป็นงานหนักเงินน้อยที่คนอเมริกันเองก็ไม่ได้อยากทำ พอมาถึงยุคนี้ ก็เลยคิดว่า ไม่เอาละ ไม่จ้างต่างชาติแล้ว ไม่เอาแบบรวมโลกเป็นหนึ่งเดียวแล้ว ขอกลับมาเป็นแบบเดิมคือโลกส่วนตัวดีกว่า เงินทองจะได้ไม่รั่วไหลไปต่างประเทศ แต่ปัญหาคือ เมื่อเอางานกลับเข้ามาในประเทศก็จะพบว่า คนของตนไม่เก่ง ไม่มีทักษะ แถมยังไม่อยากเหนื่อย พูดง่ายๆก็คือขี้เกียจนั่นแหละ หรือพูดให้ยากๆก็คือ ทรัพยากรบุคคลไม่มีคุณภาพ หากอเมริกาจะก้าวให้ผ่านปัญหานี้ด้วยการเอางานกลับมาทำเองในบ้านและใช้ชีวิตแบบโลกส่วนตัวจริงๆ ไม่เอาแบบโลกเดียวอย่างแต่ก่อน ก็หมายถึงการพัฒนาทรัพยากรบุคคลและพัฒนาประเทศกันขนานใหญ่ไม่ต่างกับการที่ญี่ปุ่นพลิกฟื้นประเทศหลังสงครามโลกนั่นเลยทีเดียว

และถ้าพูดถึงคำว่าโลกเดียวโดยมองข้ามความเคลื่อนไหวของมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอย่างจีนก็คงไม่ใช่โลกเต็มใบ เพราะในขณะที่อเมริกาพูดถึงโลกเดียวด้วยการ Outsource ขั้นตอนการผลิตไปสู่ประเทศที่ต้นทุนต่ำ และจีนก็เป็นหนึ่งในประเทศต้นทุนต่ำที่ยอมรับจ้างหรือยอมขายอะไรก็ตามให้ได้ในราคาถูกที่สุด เพื่อให้ขายได้ปริมาณมากที่สุดนั้น จีนก็ได้พัฒนาประเทศและพัฒนาบุคลากรของตนไปสู่การเป็นทรัพยากรบุคคลที่มีคุณภาพสูงควบคู่กันไปด้วย พูดง่ายๆก็คือ ขายแรงงานหรือขายของถูกก็ยอม แต่ในขณะเดียวกันก็มุ่งสร้างและพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆเพื่อความเป็นผู้นำของโลกอย่างไม่หยุดนิ่งด้วย บนพื้นฐานความจริงที่ไม่มีชาติไหนค้านว่า จีนมีพร้อมทั้งนักคิดที่เก่งที่สุดไม่แพ้อเมริกาหรือยุโรป และจีนมีแรงงานที่ต้นทุนต่ำที่สุดในการผลิตอะไรก็ตามให้ได้ออกมาอย่างที่ตัวเองคิด และด้วยความเป็นจีน จึงไม่มีเส้นศีลธรรมหรือคุณธรรมอะไรมากมายมาขีดกั้นไม่ให้จีนขโมยหรือก๊อปเอาไอเดียของใครก็ตามมาเลียนแบบและพัฒนาเป็นของตัวเองได้อย่างหน้าตาเฉย  นอกจากนี้ การที่จีนมีทั้งตลาดขนาดมหึมาและมีฐานการผลิตทุนต่ำที่ใหญ่ที่สุดในประเทศตนเองแล้ว จีนยังมีศักยภาพอันยิ่งใหญ่ไพศาลในการขยายตลาดไปสู่ทุกส่วนของโลก ไม่เว้นแม้แต่อาเซียนที่พยายามจับมือกันเข้มแข็ง ก็มีสินค้าที่ผลิตจากจีนวางจำหน่ายอยู่ทั่วทุกหัวระแหง รวมถึงการขยายตลาดเงินของจีนมาสู่ภูมิภาคอื่นๆของโลก ทั้งที่ผ่านเข้ามาในรูปแบบพันธมิตรกับธุรกิจในประเทศนั้นๆ เช่น กรณีที่จีนมาจับมือกับกลุ่มซีพี ซึ่งเป็นเจ้าของธุรกิจค้าปลีกที่มีระบบโลจิสติกส์อันทรงประสิทธิภาพเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว หากที่ไหนมีร้านคือหรือธุรกิจใดๆในเครือซีพี ย่อมมีสินค้าของจีนส่งไปขายได้ทุกแห่งหน และถ้ามองว่า ‘เงิน’ ก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่จีนขาย นั่นก็หมายถึง ‘เงินจีน’ ซึ่งอาจจะต้นทุนต่ำหรือดอกต่ำ เช่นเดียวกับสินค้าอื่นๆจากจีน ก็พร้อมให้คนไทยกู้ได้ทุกแห่งที่มีร้านค้าของเครือซีพีนั่นเอง นอกเหนือจากการเข้าไปตรงๆในประเทศต่างๆของจีนแล้ว การเข้ามาผ่านพันธมิตรคู่ค้าในประเทศก็เป็นช่องทางที่นุ่มนวลแต่ทรงพลังในการครองโลก หรือทำโลกให้เป็นหนึ่งในกำมือของจีน…ด้วยวิธีแบบจีนๆ

ส่วนมหาอำนาจทางการทหารแบบรัสเซียนั้น แม้จะไม่ได้มีบทบาทเด่นในเชิงการค้าหรือความสนใจเรื่องโลกจะเดียวหรือไม่เดียวอย่างจีนและอเมริกาแต่ก็อาจทำให้โลกทั้งใบราบเป็นหน้ากลองในทีเดียวได้ด้วยแสนยานุภาพทางทหาร เรื่อยไปจนถึงอำนาจเลอะเทอะอันเดาทิศทางอะไรไม่ได้ของเกาหลีเหนือ และบรรยากาศที่คุกรุ่นในตะวันออกกลาง แต่ในส่วนนี้เราอาจไม่ได้สนใจมาก เพราะในระดับประชาชนชาวบ้าน ถึงรู้ว่าคืนนี้เขาจะยิงระเบิดนิวเคลียร์ใส่กัน เราก็คงเฉยๆเพราะรู้ไปก็ทำอะไรไม่ได้ อย่างมากก็แค่ภาวนา ขอแค่อย่ามาตกบ้านเรา หรือทำให้หุ้นเราตก

และเมื่อมองแคบเข้ามาสู่โลกในระดับสายตาของเรา โฟกัสที่เงินทองในกระเป๋าและความเป็นอยู่ในชีวิตประจำวันของเรา ก็เป็นที่น่าสนใจว่า ในขณะที่ประเทศมหาอำนาจทั้งหลายค่อยๆก้าวเท้าออกจากกระแสโลกเดียวกลับมาหาโลกส่วนตัวกันแล้วนั้น การเปลี่ยนแปลงของประเทศเข้าสู่ความเป็นโลกเดียวของไทยเรายังอยู่เพียงในระยะต้นและกลางเท่ายังไม่ได้ถึงขั้นที่รับรู้ถึงจุดสูงสุดของความเป็นโลกเดียวและถอยกลับมาสู่ความเป็นโลกส่วนตัวอย่างอเมริกาหรือยุโรป เพราะพื้นฐานความรู้และการเข้าถึงโอกาสของคนในประเทศนั้นยังมีความเหลือมล้ำกันมาก เราจึงยังมีคนที่งงๆอยู่มาก หรือบางคนก็ไม่รู้เลยว่าจะเอาไงกับชีวิตดี จะทำมาหากินอะไรดีหากอาชีพที่ทำอยู่ถูกทดแทนด้วยคนต่างชาติ หรือด้วยสมองกล จะไปซื้อของจากไหนมาขาย…ในเมื่อทุกสิ่งมีขายทางออนไลน์ จะหาอาชีพเสริมอะไรดี…ก็ไม่ทันแล้วเพราะไม่ว่าอาชีพไหนๆ(ที่ดูสบายๆ)คนอื่นก็แย่งทำหมดแล้ว ไปขายของกับประเทศไหน…ก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มยังไง และวันหนึ่งถ้าเขายกเลิกสกุลเงินจริงๆ แล้วเราต้องทำไง สำหรับคนบางคน…อย่าว่าแต่เงินดิจิตอล แค่กรอกภาษีออนไลน์ก็ยังทำไม่เป็น ฯลฯ

คำถามว่า โลกเดียวหรือโลกส่วนตัวจะดีกว่ากันนั้น ถ้าในระดับประเทศชาติ คงไม่ใช่เรื่องของเราที่จะตอบ แต่หากในระดับของตัวเอง เราควรต้องพิจารณาอย่างจริงจังถึงข้อได้เปรียบเสียเปรียบของโลกทั้งสองแบบ และคิดให้ได้ด้วยตัวเองในส่วนที่เกี่ยวกับเราโดยตรงว่า เราต้องปรับตัวรับมือในส่วนใดบ้าง เพราะความเปลี่ยนแปลงของโลกไม่ว่าจะในทิศทางใดมีผลต่อเราอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทางที่ดีที่สุดคือการหยุดคิดอย่างจริงจัง หาข้อมูลจริงจัง และวิเคราะห์อย่างเป็นเหตุเป็นผล เพื่อการตัดสินใจในการทำมาหากิน การลงทุน หรือการใช้ชีวิต เพื่อให้เราได้รับประโยชน์จากด้านดีของทุกกระแสที่เปลี่ยนไป…โดยอย่าลืมย้ำกับตัวเองทุกวันว่า…ต้องแข็งแรง (จริงๆ) จึงจะอยู่รอด

You may also like...